เทศน์พระ

ผิดที่

๒๘ ก.ย. ๒๕๕๘

 

ผิดที่
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้ตั้งใจฟังธรรมนะ การฟังธรรมคือฟังสัจธรรม สัจธรรมคือสัจธรรมคือความจริง ความจริงอยู่ที่ไหนมันก็เป็นความจริง จะอยู่บนอากาศ อยู่บนที่ไหน อยู่ใต้บาดาลที่ไหน มันก็เป็นความจริง ความจริงเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ

นี่สัจธรรมมันเป็นความจริงใช่ไหม แต่จิตใจเรามันจอมปลอม จิตใจของเรานี่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจเรานี่มันจอมปลอม พอมันจอมปลอมนี่มันควบคุมหัวใจจนมันทุกข์มันยากอยู่ขนาดนี้ ความจอมปลอมอันนี้ ถ้าความจอมปลอมอันนี้ เห็นไหม ที่เราบวชมานี่ เราบวชมาเพื่ออะไรล่ะ เราบวชมาเพื่อประพฤติปฏิบัติใช่ไหม เราบวชมา เห็นไหม ดูสิ เวลาเป็นฆราวาส เขามีรัตนตรัยหมายถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเขา เวลาเขาถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเขา เขาพยายามขวนขวายของเขา หาปัจจัยของเขาเพื่อเสียสละ เพื่อเป็นทานของเขา นี่เป็นทานของเขานะ

คนที่มีอำนาจวาสนา เห็นไหม คิดแต่จะมาบวช อยากมาบวช บวชอะไร บวชเป็นนักรบ นักรบแล้วรบกับใครล่ะ รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัวไง แต่มันเอากิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัวซ่อนไว้ในหัวใจไง แล้วก็แสดงออก แสดงออกว่า แหม โอ่อ่ามีราศี

นี่โอ่อ่าอะไร อันนั้นมันเป็นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้น ความจริงนี่ความลับไม่มีในโลก ในหัวใจของเราความทุกข์ความยากที่มันเผาลนในใจ อันนั้นมันเป็นความจริงอยู่แล้ว ถ้าความจริงอันนี้มันเป็นความจริง เราก็ต้องกล้าเผชิญหน้ากับความจริงอันนั้นสิ แต่ความจริงในใจของเราไม่กล้าสู้หน้ามัน ไอ้ความคิดเลวทรามในหัวใจ ไม่กล้าเผชิญหน้ามัน หันแต่ไปข้างนอก จะไปเหยียบย่ำหัวใจคนอื่น จะไปเหยียบย่ำหัวคนอื่น

คนอื่นนี่หัวของเขา ศีรษะของเขา เส้นผมของเขาอยู่บนหนังศีรษะของเขานี่ เขาเอาไว้อยู่บนบ่าของเขา ทำไมคิดจะเอาเท้าไปเหยียบหัวเขาล่ะ เวลาออกไปข้างนอก แหม เก่งไปหมดเลย มันเป็นปัญหาการเมือง ดูการเมืองสิ สัตว์มนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม พออยู่กัน ๒ คนมันก็มีการเมืองแล้ว ถ้ามีการเมือง อยากจะมีอำนาจเหนือคนอื่นทั้งนั้น เวลามีอำนาจเหนือคนอื่น

เวลาบวชมาเป็นนักรบ รบกับอะไร รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัว ถ้ารบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัว พยายามเข้าไปเผชิญหน้ากับมันสิ เข้าไปสู้หน้ากับมันสิ เข้าไปเจอกับความจริงของมันสิ ทำไมไม่กล้าไปสู้หน้าเผชิญความจริงล่ะ ก็ตัวเองก็ไม่รู้จัก ส่งออกทั้งนั้น เวลาหันหน้าออกไป แหม จะเหยียบหัวเหยียบย่ำเขาไปทั่ว แต่เวลาเข้ามาหาตัวเองหาไม่เจอ

นี่ก็บวชมาทำไม บวชมาก็บวชมาเพื่อจะเข้ามาหากิเลสของตัว จะสู้กับมัน เห็นไหม นักรบๆ เวลารบรบกับอะไร ก็รบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเยาะเย้ยมารๆ เพราะอะไร ท่านชนะมารในหัวใจของท่านแล้ว แต่ของเราเห็นไหม เราก็ไปจำมา ศึกษามาๆ ศึกษามา เห็นไหม ศึกษามาแล้วก็มาสร้างภาพ เวลามันจะเกิดขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาตามความเป็นนั้นน่ะการสร้างภาพ เห็นไหม จิตเป็นจิต มันสักแต่ว่า ไม่มีสิ่งใดเลย ไอ้นี้มันท่องจำ มันท่องจำมา เห็นไหม การท่องจำมา

ดูสิ ในการประพฤติปฏิบัติของเราเป็นสัญญา เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติของท่านมา เวลาเป็นสัญญา เห็นไหม เทศนาว่าการแล้วนี่จะเทศนาว่าการ เวลาเทศนากับสิ่งใดที่มันเป็นความสำคัญ ท่านข้ามไปๆ เพราะอะไร เพราะเวลาฟังธรรม ฟังเทศน์ เห็นไหม เวลาฟังเทศน์ในภาคปฏิบัติ เวลาฟังแล้วนี่มันจะหาช่องทางของมันไป มันจับทุกเรื่อง แล้วมันจับแล้วนี่ เห็นไหม ไปไหนมาสามวาสองศอก

นี่ไปไหนมา ครูบาอาจารย์ท่านพูดอย่างหนึ่ง ท่านพยายามให้เราพยายามสร้างเนื้อสร้างตัว เห็นไหม พยายามขวนขวายขึ้นมาให้เป็นความจริงของเรา ในใจของเรา ไอ้เราคิดไพล่ไปเลยนะ คิดไพล่กลับหัวกลับหาง รู้ไปก่อน เห็นไปก่อน รู้โจทย์ก่อน รู้คำตอบก่อนทุกอย่างเลย นี่นิพพานความว่าง แล้วก็ว่างหมดเลย แล้วว่างหมดไม่มีสิ่งใดเลย ไม่มีกิจจญาณ ไม่มีสัจจญาณ ไม่มีการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีความเป็นจริงของเราเลย ไม่มีความจริงแล้วมันเกิดขึ้นมาในหัวใจนี้ได้อย่างไร

สิ่งที่เกิดขึ้นมาความจำทั้งนั้นนะ เห็นไหม ท่องจำมาๆ ท่องจำอาการของมัน ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติก็ท่องจำของท่าน เวลาท่านว่าถึงการสิ่งใด เห็นไหม เวลาเราก็เอามาปฏิบัติ เวลาปฏิบัติสร้างภาพขึ้นมายังไง ก็ทำให้มันเหมือนไปอย่างนั้น มันไม่เป็นความจริงทั้งนั้น พอมันไม่เป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม

แล้วเวลาตัวเองด้วยทิฏฐิมานะ ก็ว่าเป็นความจริง ก็พูดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน แต่ทำไมครูบาอาจารย์ท่านไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับ ไม่ยอมรับๆ เพราะมันไม่มีเหตุไม่มีผล เพราะท่านทำของท่านมา ท่านรู้สัจจะความจริงของท่านมา เราไม่รู้สิ่งใดเลยแล้วจะให้มันเป็นอย่างนั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ นี่มันผิดที่ผิดทางทั้งนั้น เวลามันผิดที่ผิดทาง มันขายก่อนซื้อ เวลาไม่ทำสิ่งใดมาเลย มันจะมีผลไปหมดเลย

แต่เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านมีของท่านมา ท่านทำของท่านมาตามความจริงของท่านมา ท่านสู้ของท่านมา ท่านปฏิบัติของท่านมาตามเป็นจริงอันนั้น มันถึงได้เกิดความจริงขึ้นมา แล้วเกิดความจริงขึ้นมา เห็นไหม เพราะเกิดความจริงอันนั้น เวลาผู้ประพฤติปฏิบัติ ถ้าเขาไม่มีความจริงอย่างนี้ ใครจะเชื่อใจได้ มันเชื่อใจใครไม่ได้ทั้งสิ้น แต่มันต้องเป็นความจริงขึ้นมา

ถ้าความจริงเห็นไหม เวลาบวชมาก็บวชมาเพื่อเหตุนี้ บวชมา เห็นไหม เวลาบวชมาแล้ว เราเป็นสังฆะ สังฆะมันเป็นสงฆ์ เห็นไหม สงฆ์ขึ้นมาแล้วเราอยู่ในกลุ่มสงฆ์ ในกลุ่มสงฆ์แล้วนี่มันมีข้อวัตรปฏิบัติเพื่อให้มันมีความทิฏฐิเสมอกัน มีความเห็นเสมอกัน ถ้ามีความเห็นเสมอกัน เห็นไหม ข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาเราก็ทำร่วมกัน ใช้ร่วมกัน

แต่จริตนิสัยมันไม่เหมือนกันทั้งนั้น ความที่ไม่เหมือนกันจากภายใน เห็นไหม เราก็ต้องดูแลของเรา เราต้องมีสติปัญญาของเรา ต่อสู้กับความเป็นจริงในหัวใจของเรานี้ให้ได้ ถ้าต่อสู้กับความจริงในหัวใจของเราได้ มันจะเป็นความจริง เราต่อสู้ของเราไม่ได้เอง ถ้าเราต่อสู้ของเราไม่ได้เอง เห็นไหม ไม่ได้เองนี่แล้วยังกิเลสมันไพล่ เห็นไหม นี่ท่องจำมา มันผิดที่ผิดทาง ถ้ามันผิดที่ผิดทางนะ

มันเป็นความจริง ครูบาอาจารย์ของเราถ้ามีคุณธรรมนะ จิตที่มันเป็น มันมีสัจธรรม เห็นไหม สูงสุดสู่สามัญ สูงสุดน้อมลงต่ำนะ พระธรรมดานี่แหละ แต่เวลาใครไปเห็นนะ เห็นไหม ดูสิ พระอัสสชิเวลาออกบิณฑบาต ดูเวลาพระสารีบุตรไปเห็นเข้า มันมีสติสัมปชัญญะขนาดนี้ ท่านต้องมีดีของท่าน ตามไปนะ ตามไปขอฟังธรรม เวลาไปขอฟังธรรมนะ ถามว่า

“ท่านบวชจากใคร ใครสอนท่านมา”

“โอ๊ย เราเป็นผู้บวชใหม่”

เราเป็นผู้บวชใหม่ ปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าอยู่ ๖ ปี ถ้าเป็นพวกกิเลสมันโม้แล้ว โอ๊ย ศิษย์เอก เก่งมาก ท่านไม่โม้เลยนะ ท่านอ่อนน้อมถ่อมตนของท่าน สูงสุดสู่สามัญ นี่สูงสุดสู่สามัญ มันเป็นความจริง ถ้าคนที่มีคุณธรรมในหัวใจ เห็นไหม ไม่เหยียบย่ำใครไปทั้งสิ้น การเหยียบย่ำนี่กิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้นนะ เวลามันโผล่ขึ้นมาในหัวใจของเรา เราต้องตบมันเลยล่ะ ไอ้สิ่งนี้มันไม่สมควร เราก็ไม่ชอบ เราชอบคนที่โอภาปราศรัย เห็นไหม เราอยู่ด้วยกัน อยากให้คนพูดกับเราอย่ากระโชกโฮกฮาก พูดกับเราให้พูดกับเราดีๆ เห็นไหม แล้วทำสิ่งใดก็มีน้ำใจต่อกัน เราก็หวังสิ่งนั้น

แล้วเราไปทำกับคนอื่นทำไม กับคนอื่นเราไปเหยียบย่ำเขาทำไม กับคนอื่นทำไมไปมองเขาเป็นอย่างนั้น แต่ทำไมเราไม่มีน้ำใจกับเขา เวลาเราเอง เรายังไม่ต้องการเลย ให้ใครพูดเหยียบย่ำเรา พูดกับเราก็พูดกับเราด้วยโอภาปราศรัย จะเอาสิ่งใดเราก็เจือจานกันได้ เราก็ไม่ชอบ แต่ทำไมเราไปเหยียบย่ำเขาล่ะ ทำไมเราไม่มีสติปัญญาของเราเลย

ถ้ามีสติปัญญาของเรา นี่มันโผล่มา กิเลสตัณหาความทะยานอยาก ก็เราจะมาต่อสู้กับมัน ที่บวชมาก็บวชมาเพื่อเหตุนี้แหละ บวชมาเพื่อเอาชนะใจของตัวเอง ที่บวชมานี่ ถ้ามีคุณธรรมแล้วนี่มันจะเอาชนะหัวใจของตัวเอง หัวใจนี่ หัวใจที่มันเลวทราม หัวใจที่มันเร่ร่อนอยู่นี่ เขาบวชมาเพื่อเหตุนี้ บวชมา เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติเข้าป่าเข้าเขาไปก็เพื่อเอาชนะตัวท่านเอง

นี่ก็เหมือนกัน เราบวชมาเราก็ต้องเอาชนะตัวของเรา ต้องเอาชนะหัวใจของเรา หัวใจของเราที่ว่ามันโผล่ออกมา โผล่ออกมานี่ก็เป็นโอกาสที่เราจะได้สู้กับมัน ทำไมไม่สู้ ก็บวชมาเป็นนักรบไง นี่นักรบไง ถูกที่ถูกทางเลยล่ะ ถ้ามันทำถูกที่ถูกทาง เห็นไหม มันก็เป็นความเพียรชอบ ถ้ามันผิดที่ผิดทาง มันกลับหัวกลับหาง มันกลับหัวกลับหางเพราะเราบวชมา เห็นไหม ปุถุชนคนหนา เพราะอะไร เราก็รู้อยู่แล้วว่าเราไม่รู้ ไม่เข้าใจเรื่องสภาวะจิตเลย เราไม่เข้าใจอาการของจิตเลย เราไม่เข้าใจความรู้สึกนึกคิดเลย เราไม่เข้าใจเลยว่าเราเกิดมาจากไหน ที่บวชมานี่ เวลาบวชมานะ งงไปหมด บวชมาก็ไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วก็จะมาทำความเข้าใจมานี้เลยไง

บวชมา เห็นไหม บวชมาก็เพื่อจะต่อสู้ เพื่อจะฝึกหัดของเรา จะทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจมันสงบแล้ว เห็นไหม สมถกรรมฐานฐานที่ตั้งแห่งการงาน เราก็ต่อสู้กับมัน เห็นไหม แยกแยะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตัว ถ้ามันแยกแยะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของตัว มันก็เกิดปัญญาขึ้น มันเกิดการกระทำขึ้น เห็นไหม มันก็เกิดกิจจญาณ สัจจญาณ เกิดจากสัจจะความจริงในหัวใจของเรา

ถ้ามันเกิดสัจจญาณ กิจจญาณขึ้นมา นั่นงานของเรา ถ้าทำเป็นแล้วนี่ ถ้าทำเป็น เห็นไหม นี่ทำเป็น ทำเป็นเพราะอะไร ทำเป็นเพราะมันมีมรรคมีผล มีมรรคมีผลก็มีการต่อสู้กันระหว่างธรรมะกับกิเลส เห็นไหม ธรรมะ ธรรมะที่สัจธรรมที่เราบวชมานี่ บวชมาเป็นภิกษุสงฆ์ เห็นไหม บวชมาอุปัชฌาย์ยกเข้าหมู่ เป็นผู้ทรงศีล นี่ศีล สมาธิ ปัญญา เราบวชมาเป็นผู้ทรงศีล ศีล ๒๒๗ ศีล ๒๒๗ เรามีศีล เห็นไหม เราก็รักษาหัวใจของเรา นี่ความปกติของใจ ศีลจากภายใน แล้วเราพยายามทำความสงบของใจเข้ามา

ถ้าใจมันสงบเข้ามา มันสงบแล้วมันมีฐานที่ตั้งแห่งการงาน มันมีฐานที่ตั้งแห่งการงาน เวลามันยกขึ้นสู่ เห็นไหม ยกขึ้นสู่ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง มันจะพิจารณาของมัน มันจับต้องของมัน พิจารณาของมัน ถ้ามันพิจารณาของมัน มันก็มีการมีงานไง ถ้ามีการมีงาน เห็นไหม ที่เราบวชมา บวชมานี่ เราไม่รู้เหนือไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้สิ่งใดเลย

แล้วเราจับผิดจับถูก มันผิดที่ผิดทาง แล้วบอกว่า เรามีคุณธรรม เรารู้ธรรม พูดธรรมะกัน ธรรมะเวลาสนทนาธรรม เห็นไหม ธมฺมสากจฺฉา เราคุยธรรมะกัน คุยเพื่อปรึกษาหารือกัน ถ้าปรึกษาหารือกัน เราเป็นคนทุกข์ด้วยกัน เห็นไหม คนหลงทางมาด้วยกันก็ปรึกษากันว่าเราจะไปทางไหน เราจะเข้าช่องทางไหน ถ้าเราคุยกันด้วยเหตุด้วยผลมันคุยกันอย่างนี้ มันคุยเพื่อหาหนทาง

แต่เวลาคุยกันไปแล้วนี่ เวลาคุยกันไป เห็นไหม เวลาคนโน้นว่าคุยกันไป ก็ว่าคนนั้นพูดจริง คนนี้พูดไม่จริง ก็ดูถูกดูแคลนกัน มันเหมือนหมา หมามันหยอกมันเล่นกันเดี๋ยวมันก็กัดกัน ไอ้นี่ก็เหมือนกันเวลาคุยธรรมะกันก็ธมฺมสากจฺฉา เราเป็นนักบวชด้วยกัน เห็นไหม แต่สุดท้ายแล้วมันก็กัดกันไง กัดกันด้วยที่ว่ามันไม่เชื่อไง เอ็งพูดเลยไป เอ็งพูดสูงไป เอ็งพูดต่ำไป ขัดแย้งกันไป เห็นไหม นี่ไง มันผิดที่ผิดทางไปหมดเลย

ถ้าผิดที่ผิดทางแล้วมันมีปัญหา มันมีปัญหา ปัญหาเพราะอะไร ปัญหาเพราะธรรมดาในหัวใจของเรามันก็มีกิเลสเผาลนอยู่แล้ว กิเลสในใจของเรามันเผาลนอยู่แล้วนะ แล้วธมฺมสากจฺฉา เขาพูดนี่พูดแสวงหาหนทางกัน เขาไม่ได้พูดไปเพื่อเหยียบย่ำกัน เขาไม่ได้พูดเพื่อไปกว้านเอาความลังเลสงสัย เอาไปเป็นประเด็นเข้ามาพอกพูนหัวใจไง เอาฟืนเอาไฟ ธมฺมสากจฺฉา เขาพูดสนทนาธรรมกันเพื่อเหตุเพื่อผล เพื่อสัจธรรม เพื่อความดี เพื่อหาหนทางออก ไม่ใช่ไปพูดกันเพื่อหาฟืนหาไฟ หาฟืนหาไฟนะ พอพูดเสร็จแล้วไปทางจงกรม ควรที่จะเดินจงกรมแล้วมันจะมีเหตุมีผลบ้าง มันเข้าไปทางจงกรมมันยิ่งงงใหญ่เลย คราวนี้เสียท่าเขามา คราวหน้าเราต้องหาเหตุผลพูดเอาชนะเขาให้ได้

“พูดเอาชนะ ไม่ใช่ทำดีเอาชนะ” พูดเอาชนะคือขวานไง ปากเป็นขวานไปเที่ยวถากเที่ยวถางเขาไง จะเที่ยวถากเที่ยวถางเขา ว่าเรานี่มีวุฒิภาวะ เรามีความรู้ เราจะถากถางคนอื่น แต่เราไม่เห็นใจเราเลย หัวใจที่มันเร่าร้อน หัวใจ เห็นไหม เราเป็นมนุษย์นะ เราเห็นภัยในวัฏสงสารเราถึงมาบวช บวชเป็นนักรบ นักรบเพื่อที่จะรบกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากตัวนี้ไง ตัวที่มันฟูขึ้นมาไง ถ้าตัวที่มันฟูขึ้นมา เราจะมีสติปัญญาแค่ไหนที่จะจับต้องมันได้ พิจารณามันได้

สิ่งนี่มันเป็นโอกาส เวลาภาวนาขึ้นมาทุกคนก็อยากเห็นกิเลส ทุกคนก็อยากจะวิปัสสนา ทุกคนก็อยากเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม ตามความเป็นจริง อยากเห็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากเพื่อที่จะได้ต่อสู้กับมัน แต่เวลามันโผล่ขึ้นมาในหัวใจของเรา ไม่รู้เลยว่ามันโผล่ขึ้นมา แล้วมันโผล่มาในสถานะไหน มันโผล่ขึ้นมาแล้วเราทำอะไรมันได้ โผล่ขึ้นมาแล้วมันยื่นดาบ เห็นไหม สามล้อถูกหวยไง กิเลสตัณหาความทะยานอยาก จิตใจของเรามันทุกข์มันยาก เหมือนสามล้อ เวลากิเลสมันครอบงำ เห็นไหม สามล้อถูกหวย สามล้อนี่คนป่ามีปืนนะ มีปืนใช้ประโยชน์อะไรไม่เป็น

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลามันมีความคิดความเห็นอะไรขึ้นมา กิเลสมันยื่นดาบยื่นอาวุธให้ เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ ท่านจะให้อาวุธเข้าไปไปต่อสู้กับกิเลส ไอ้นี่กิเลสมันยื่นดาบยื่นอาวุธให้ มันเอาไปทำลายคนอื่นไง จะไปทำลายคนโน้น จะไปทำลายคนนี้ ก็จะไปเถียงเอาชนะเขา ก็อยากจะเถียงเอาชนะเขา ก็อยากจะเด่นกว่าเขา นี่มันก็เป็นปืนไง เป็นอาวุธไง กิเลสมันเสริมให้ไง แล้วก็ไปเหยียบย่ำเขาไง อย่างนี้เป็น ธมฺมสากจฺฉา เหรอ นี่มันทำลายกันทั้งนั้นนะ

มันทำลายเพราะว่ากิเลสในใจของเรามันฟูขึ้นมา แล้วมันฟูขึ้นมามันเผาลนเราก่อนไง เผาลนตัวเองแล้วก็ไปเผาลนคนอื่นไง ทำลายตนแล้วก็ทำลายผู้อื่นไง ไปทำลายเขาทั่ว ทั้งๆ ที่ทุกคนก็มีอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนมันก็มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจด้วยกันทั้งนั้น นี่บวชมานักรบ เขาบวชมาเพื่อต่อสู้กับกิเลส เขาต้องการชำระล้างกิเลส เขาไม่ใช่จะไปทำลายคนอื่น จะไปชำระกิเลสคนอื่น

เวลาอยู่กับหลวงตาท่านบอกเลยนะ “มันเรื่องของเขา” ทุกคนก็เร่าร้อนมาทั้งนั้น ทุกคนก็หนีภัยมาทั้งนั้น ทุกคนก็ทุกข์มาทั้งนั้น ทุกข์มา เห็นไหม เรามาบวชแล้ว บวชแล้ว เห็นไหม ดูสิ บวชแล้วมันต้องร่มเย็น โอ้ บวชแล้ว พระบวชแล้วร่มเย็น พระเขาอยู่กันอย่างไร สังคมเขาสงสัยนะ พระเขาอยู่กันอย่างไร นี่เขาอยู่กันเขาทำอะไรยังไงกัน อยู่อย่างนั้นน่ะพระเขาทำอะไรกัน

เวลาที่เราบวชมาแล้ว เราต้องมีความร่มเย็นของเราสิ ความร่มเย็น ถ้ามันมีสัมมาสมาธิ เห็นไหม มันก็มีความร่มเย็นเป็นสุขมันก็อยู่ของมันได้ แต่ถ้ามันไม่มีสัมมาสมาธิ มันร้อนของมัน ถ้ามันร้อนของมัน เห็นไหม มันร้อนของมัน มันเผาลนตัวเองนี่มันร้อนแล้ว ถ้าร้อนแล้วคนอื่นเดือดร้อนหมด วัดทั้งวัดมันไปหาเขาหมด ขอปรึกษาๆ ฉันเร่าร้อน ถ้ามันร่มเย็นมันก็มีความสุขของมันไง แต่นี่มันเร่าร้อน ไปกวนเขาหมดเลย กุฏิไหนก็ไป วุ่นวายไปทั้งวัด ไหนว่าจะร่มเย็นเป็นสุขไง

นี่ไง เวลาคนป่ามีปืนไง นักรบไง ฉันเป็นพระปฏิบัติไง เป็นพระปฏิบัติไปกวนคนอื่นทำไม ไปหาเขาทำไม ต่างคนต่างต้องการความสงบ เขาต้องเข้าทางจงกรมเขานั่งสมาธิของเขา ทำไมไปวุ่นวายกับเขา ไอ้นี่มันผิดระเบียบทั้งนั้น ถ้าคนมีสามัญสำนึก มันเป็นสิทธิ์ของเขา กุฏิของเขา ร้านของเขา เอ็งเป็นใคร เอ็งเข้าไปเอ็งขออนุญาตใคร มันเข้าไปไม่ได้ มันเป็นสิทธิ์ไง แต่เหยียบย่ำไปทั่ว บอกว่าเป็นคนที่มีคุณธรรม ธมฺมสากจฺฉา จะมาสนทนาธรรม จะปรึกษาธรรม คุยธรรมะกัน ไอ้เขาจะคุยกับเอ็งเหรอ เขาต้องการเวลา เขาจะนั่งสมาธิภาวนาของเขา

ไอ้นี่ก็เหมือนกัน ฉันพิจารณาแล้วมันปล่อยวางหมด มันว่างหมด จิตมันสักแต่ว่า นี่ที่ทำมันเป็นแค่กิริยา กิริยาสิก็เอ็งไปเหยียบย่ำเขา เวลาเอ็งไปกุฏิไปร้านเขา เป็นแค่กิริยา มันไม่เดือดร้อนหรอกเนาะ มันเป็นแค่กิริยาเฉยๆ ไม่มีอารมณ์ ไอ้คนเจ้าของกุฏิมันเดือดร้อนจะตายอยู่แล้ว แต่มึงยังเป็นแค่กิริยานะ

คำว่า “เป็นแค่กิริยา” มันเป็นคำพูดของหลวงตาไง เวลาเขาพูดถึงว่า พระอรหันต์ทำไมมีอารมณ์รุนแรงขนาดนั้น ท่านบอกว่าถ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วนี่ เห็นไหม มันเป็นปาปมุต คำว่า “ปาปมุตนะ” มันไม่มีกิเลส ไม่มีเจตนาจะทำร้ายใคร ถ้าไม่มีเจตนาทำร้ายใคร สิ่งนั้นมันไม่เป็นบาปเป็นกรรม ไม่เป็นบาปเป็นกรรม

คำว่า “ไม่เป็นบาปเป็นกรรม” เฉพาะจิตที่เป็นพระอรหันต์เท่านั้น จิตที่เป็นพระอรหันต์เพราะอะไร เพราะท่านไม่มีพญามาร มันไม่มีครอบครัวของมารที่จะคอยชักนำให้เสียหาย สิ่งที่ท่านทำเป็นธรรม คำว่าเป็นธรรมคือเจตนาดี เจตนาดี หวังดี หวังให้คนอื่นได้คุณงามความดี ถ้าหวังคุณงามความดี ขนาดความดี พระอรหันต์ เห็นไหม ข้ามพ้นจากบุญและบาป แม้แต่บุญกุศลทำคุณงามความดีมันก็ต้องได้บุญกุศลใช่ไหม ทำคุณงามความดีก็ต้องได้คุณงามความดีใช่ไหม แต่พระอรหันต์ท่านไม่ต้องการความดีอย่างนั้นไง

เพราะว่าการเป็นพระอรหันต์ ท่านได้พิจารณาของท่าน ได้ชำระล้างทำลายอวิชชาในใจของท่านหมดสิ้นแล้ว ถ้าหมดสิ้นแล้ว เห็นไหม ทำลายภวาสวะ ทำลายภพ ถ้าเป็นบาปเป็นบุญก็แล้วแต่ มันไม่มีความไปเพิ่มเติม หรือทำให้จิตในธรรมธาตุของพระอรหันต์นั้นเสื่อมด้อยลงไป ไอ้ที่ว่าทำที่เป็นกิริยา เป็นประโยชน์กับคนอื่นที่ว่าเป็นบุญๆ มันก็ไม่เป็นบุญกับพระอรหันต์ เพราะพระอรหันต์มันข้ามบุญและบาปไปแล้ว

ถ้าข้ามพ้นจากบุญและบาปไปแล้ว บุญที่ทำขึ้นมาพระอรหันต์ต้องการบุญอย่างนั้นอีกเหรอ บุญอย่างนั้นพระอรหันต์ไม่ต้องการอยู่แล้ว เพราะมันเป็นบุญเป็นผลของวัฏฏะ แต่เวลาพระอรหันต์ท่านทำลายอวิชชาในใจของท่าน ทำลายภวาสวะของท่านไปแล้ว มันข้ามพ้นจากบุญและบาป จะมีความดีสูงส่งขนาดไหน พระอรหันต์ก็ไม่ต้องการคุณงามความดีอันนั้น มันถึงเป็นปาปมุตไง มันถึงเป็นกิริยาไง ถ้ามันเป็นกิริยามันเป็นกิริยาของพระอรหันต์ที่ท่านสิ้นกิเลสไปแล้ว

ไอ้ของเราก็ว่าเป็นกิริยาเหมือนกัน เป็นกิริยาต่อเมื่อกูได้เปรียบ ถ้ากูได้เปรียบเป็นกิริยา ถ้ากูเสียเปรียบไม่ใช่นะ ถ้ากูเสียเปรียบไม่ได้ แต่ถ้ากูได้เปรียบนะเป็นกิริยา แค่กิริยา ไม่มีอะไร มันเป็นกิริยา ไม่มีบาปไม่มีบุญกับใคร มันเป็นแค่กิริยา

มันกิริยาของใคร! มันเป็นกิริยาของกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้น มันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริง เป็นความจริง เห็นไหม ดูสิ มันมีสติมีปัญญารู้ทันในตัวของตัว มันผิดที่ผิดทางทั้งนั้น เวลามันผิดที่ผิดทาง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงส่งแล้ว เราก็ใช้ผิดที่ผิดทางกัน เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ความจริงขึ้นมามันก็ต้องมีสติมีปัญญาสิ มีสติมีปัญญานี่ไอ้แค่ของหยาบๆ ของที่ไปกวนคนอื่นนี่ ของที่ไปเบียดเบียนกัน มันก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ควร! ของที่ไม่ให้ควรอาบัติต้องเพราะไม่ควร อาบัติต้องเพราะไม่รู้ อาบัติทำว่าทำผิดจริง ของที่ไม่ควร ไม่ควรทำ ทำไปก็เป็นอาบัติแล้ว

มันไม่ควรทำ มันไม่ควรทำ ทำไม่ได้ แต่มึงฝืนทำกันทำไม ถ้ามึงฝืนทำก็เหยียบย่ำหัวใจคนอื่นไปใช่ไหม เขาไม่มีหัวใจเหรอ คนที่มาบวชนี่ไม่มีหัวใจใช่ไหม มีเราคนเดียวที่มีหัวใจใช่ไหม แล้วเวลาเราเร่าร้อนเราก็เที่ยวเหยียบย่ำเขาไปทั่วใช่ไหม แล้วเป็นแค่กิริยา มันเป็นแค่กิริยา มันไม่มีผู้ทำความผิด มันเป็นแค่กิริยา มันผิดที่ผิดทาง มันใช้ผิดที่ผิดทาง ใช้ที่ผิดคน

เวลาหลวงตาท่านพูด ท่านพูดของท่านตามความเป็นจริงของท่าน แต่ของเรานี่ไปจำขี้ปากมาไง แล้วกิเลสมันก็ปลิ้นปล้อนไง มันปลิ้นปล้อนว่ามันอยากได้ มันอยากทำไง ถ้ามันอยากได้ มันอยากทำก็ทำของมันอย่างนั้นไง มันทำตามที่มันพอใจของมัน ถ้ามันทำตามความพอใจของมัน แล้วมันยังพลิกแพลงว่าเป็นธรรมอีกนะ

ถ้าเป็นธรรมนะ มันจะเห็น ดูสิ เวลาหลวงตาท่านชราภาพ ท่านบอกว่าที่ท่านต้องลงมาฉันทุกวันๆ เพราะอะไร นั่นมันเพราะอะไรล่ะ เพราะท่านอยู่ในหมู่คณะใช่ไหม เพราะสังฆะมันเป็นใหญ่ใช่ไหม เพราะอำนาจของสงฆ์ไง ท่านยังต้องลงมาฉันร่วมกับสงฆ์ตลอดเวลา ท่านอายุ ๙๗ ๙๘ ท่านก็ยังมาฉันอยู่กับหมู่คณะตลอดเวลา ท่านไม่สามารถทิ้งหมู่คณะไปได้

นั่น นั่นแค่กิริยา เพราะท่านต้องแบกหามธาตุขันธ์ของท่านมา ท่านเดินมาไม่ได้ คนต้องไปอุ้มมา อุ้มมาเพื่อฉันข้าว แล้วถ้าเราเอาข้าวไปให้ท่านฉัน นั่นเอาข้าวไปให้ท่านฉันมันจะดีกว่ากันไหม ถ้าหัวใจของลูกศิษย์เขาคิดกันอย่างนั้น แต่ท่านไม่ยอม ท่านไม่ยอม ท่านจะลงมาฉันกับหมู่ ท่านบอกว่า “ท่านก็เป็นพระองค์หนึ่ง เป็นแค่พระองค์หนึ่งในหมู่สงฆ์เท่านั้น ท่านไม่ได้ใหญ่ไปกว่าใครเลย” นี่ นี่กิริยา ถ้ามันเป็นกิริยามันต้องเป็นแบบนั้น

แต่ของเรานี่ว่ามันแค่เป็นกิริยาเนาะถ้ากูได้เปรียบ ถ้ากูเสียเปรียบนี่ไม่ใช่ ไม่ใช่กิริยา นี่ไงมันใช้ผิดที่ ใช้ผิดที่ผิดทาง แต่ถ้ามันถูกที่ถูกทาง เราไม่ต้องไปมองตรงนั้น นี่ของครูบาอาจารย์ท่านพูดกับเรานี่มันเป็นที่น่าชื่นชม เวลาหลวงตาท่านพูด ครูบาอาจารย์ท่านพูดนี่น่าชื่นชม น่าชื่นชมเพราะอะไร น่าชื่นชมเพราะว่าท่านทำของท่าน แล้วท่านอธิบายให้เราฟัง นี่ผลของมันเป็นอย่างนั้น

แต่ของเรา เห็นไหม เราเป็นผู้น้อย เรายังต่ำต้อยอยู่ เราก็พยายามสร้างของเรา เราฝึกหัดสติของเรา เราฝึกหัดสติของเรา มีสติ ถ้ามีสตินะ การกระทำต่างๆ มันจะไม่ผิดที่ผิดทาง การกระทำยังไง หยิบจับสิ่งใดต้องให้มีสติ แล้วฝึกหัดสติของเรา แล้วหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ให้มันเกิดสัมมาสมาธิ ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิขึ้นมา มันจะมีความสุขความสงบความระงับขึ้นมา แล้วถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมานี่ ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิ มันมหัศจรรย์ มันแปลกประหลาดมหัศจรรย์มาก แล้วมหัศจรรย์เพราะมันมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์เพราะอะไร เพราะกิเลสมันตามไม่ทัน

ไอ้อย่างที่เรารู้ๆ ในโลกนี้ ปัญญาที่เราเข้าใจอยู่นี่ มันเป็นปัญญาโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากสัญชาตญาณนี่ เราก็เข้าใจได้ เราเข้าใจได้มันจะเกิดละเอียดขนาดไหนเราก็เข้าใจได้ เห็นไหม แต่เวลาเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเหนือโลก เราเข้าใจไม่ได้ เราเข้าใจไม่ได้เลย แล้วถ้าเข้าใจไม่ได้มันเกิดมาจากไหนล่ะ

ถ้ามันเกิดมาอย่างนั้น เกิดมาจากเรา เราเป็นคน เห็นไหม ถ้ามันถูกที่ถูกทางนี่ เราฝึกหัดของเราไง ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาที่มันเกิดจากการภาวนานี่ให้มันเกิดขึ้นจากความเป็นจริงของเรา แล้วถ้าเป็นความจริง ความจริงจะเกิดขึ้นมา ฝึกหัดของเราขึ้นมาให้เป็นความจริงของเราขึ้นมา แต่เราทำของเราไม่ได้ เราทำของเราได้นี่ เสร็จแล้วเราก็ว่าเราพยายามพลิกแพลง พลิกแพลงขนาดไหน เราก็หลอกตัวเองอยู่แล้ว เอ็งหลอกตัวเองมา แล้วคนอื่นเขาไม่เห็นนี่มันเป็นไปได้อย่างไร

ความลับไม่มีในโลก เราเองเราก็หลอกลวงเรา หลอกลวงเราว่า แหม จิตมันก็เป็นสักแต่ว่า มันก็เป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง...เอ็งทุกข์ทำไม เช่นนั้นเอง...เอ็งสงสัยทำไม นี่มันก็เช่นนั้นเอง มันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก

ถ้ามันเป็นความจริงนะ ถ้าจิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่ปัญญานะ โอ้ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง มันภาวนามยปัญญามันมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์มาก มันชำระล้าง มันเข้าไปเนื้อของจิต มันพิจารณาของมัน พิจารณาของมัน เห็นไหม ภาวนาแล้วมันเป็นมรรค เวลามันขับมันเคลื่อนไปนี่ มันมหัศจรรย์ แล้วใครเป็นคนทำล่ะ

เวลาเราพูด มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐๆ เวลามันเกิดภาวนามยปัญญา มันเกิดมรรคขึ้นมานี่ มันมหัศจรรย์ มันมหัศจรรย์ในตัวเราเองนะ อู้ย มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ปัญญาเราเกิดได้ขนาดนี้ แล้วปัญญาเกิดขนาดนี้ เวลามันชำระล้างแล้วกิเลสเป็นนามธรรม กิเลสเป็นนามธรรม เห็นไหม เวลาปัญญามันเท่าทันกิเลส โดนชำระล้างกิเลสมันสลบไป กิเลสมันหลบเลี่ยงไป มันโล่ง มันโถง มันโล่งมันโถงนั่นมันตทังคปหาน ทั้งๆ ที่เกิดปัญญานะ

แต่ถ้าปัญญายังไม่เกิดเลยนี่ ปัญญายังไม่เกิด สิ่งที่เราคิดจินตนาการนี่มันเป็นจินตนาการทั้งนั้น มันไม่มีความจริงเลย ถ้าไม่มีความจริงมันจับต้องไม่ได้ มันพูดไม่ได้ ถ้ามันพูดได้ๆ มันก็เป็นความจริงได้ ถ้ามันพูดไม่ได้นี่มันจะเอามาจากไหน ก็มันพูดไม่ได้ เพราะคนมันไม่เคยเห็น คนไม่เคยเห็นมันก็มีแต่ตำราเท่านั้น อ่านในตำรามาแล้วก็คาดเดากันไป นี่มันผิดที่ผิดทางไปหมดเลย

ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ของเรา ท่านถึงย้อนกลับมา “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ครูบาอาจารย์ของเรานะจะให้ต่างคนต่างประพฤติปฏิบัติ อยากให้ต่างคนต่างภาวนา ให้มันเกิดขึ้นมาเป็นสัจธรรม เป็นกิจจญาณ เป็นสัจจญาณ คืออยากให้คนนั้นได้ความจริงนะ คืออยากให้ใจดวงนั้นได้มีคุณธรรมจริงๆ

แล้วถ้ามีคุณธรรมจริงๆ นะ ถ้าพิจารณาไปแล้วนะ อย่างเช่นครูบาอาจารย์ เห็นไหม นั่นน่ะ ถ้าคำว่าเป็นกิริยานะ ถูกต้อง อย่างหลวงปู่ตื้อนี่ ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านสิ้นกิเลสไปแล้วนะ เป็นแค่กิริยา คำว่า “กิริยา” ท่านทำแต่ประโยชน์นะ ท่านทำประโยชน์ทั้งนั้น ท่านไม่เคยเห็นแก่ตัวของท่านเองเลย ครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านทำ ท่านทำประโยชน์กับศาสนา ทำประโยชน์กับโลก ไม่ได้ทำประโยชน์กับตัวท่านเลย ท่านไม่เคยเห็นตัวท่านเลย

หลวงตาพูดประจำ “ตื่นนอนมาไม่เคยคิดถึงตัวเองเลย คิดถึงแต่เรื่องว่า ที่ไหนมันขาดแคลน ที่ไหนที่มันมีความทุกข์ความยาก” ท่านไม่เคยคิดถึงตัวท่านเองเลย เช้าขึ้นมา ตื่นนอนขึ้นมา คิดถึงคนอื่นก่อน คิดถึงสงฆ์ก่อน คิดถึงความทุกข์ยากของมนุษย์ก่อน ท่านไม่เคยคิดถึงท่านเลย แต่ก่อนหน้านั้น ก่อนหน้านั้นเพราะท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านก็พยายามเอาตัวท่านรอดให้ได้ก่อน ถ้าเรายังเอาตัวรอดไม่ได้ “อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ตนยังพึ่งตนไม่ได้ ตนจะไปให้ใครพึ่งได้ แล้วไปให้ใครอาศัยได้ ตนต้องเป็นที่พึ่งของตนให้ได้ก่อน แล้วคนอื่นจะไปพึ่งพาอาศัยได้ ถ้าพึ่งพาอาศัยได้มันก็เป็นประโยชน์ได้

ก่อนที่จะคิดถึงคนอื่นมันต้องชำระล้าง ชำระล้างความตระหนี่ถี่เหนียว ชำระล้างอวิชชาในหัวใจของตัวให้จบสิ้นไปก่อน ถ้าเรายังชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยาอยากของเรายังไม่ได้ก่อน แล้วเราบอกมีคุณธรรมนี่ผิดที่ผิดทาง นี่สูตรธรรมะ ไปจำสูตรธรรมะมาแล้วก็แสดงออกตามนั้น แต่ไอ้สิ่งที่ว่ากิเลสตัณหาความทะยานอยาก ความเห็นแก่ตัวมันอยู่จิตใต้สำนึกนี่มันแสดงออกหมด แล้วเวลาไปก็แค่กิริยา มันเป็นแค่กิริยาเท่านั้น มันไม่มีผลกับใคร

ก็เอ็งเหยียบย่ำเขา เอ็งเอารัดเอาเปรียบเขา เอ็งเอาแต่ได้อยู่คนเดียว มันก็เป็นกิริยาสิ ถ้าเอ็งเสียบ้างเอ็งยอมไหม เวลาเอ็งเสียนี่ให้คนอื่นเขาได้ประโยชน์บ้างนี่ เอ็งยอมรับหรือเปล่า

นี้พูดถึงในหมู่คณะนะ นี่ของอย่างนี้มันของเป็นวัตถุ ของเป็นข้อวัตร ของเป็นของใช้สอย ของเป็นของข้างนอกนะ มันไม่ใช่ของจริงๆ เลย ของจริงๆ นะนี่จริตนิสัย การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่สิ่งที่มันมีมาๆ มันมีของมันมาอย่างนี้ ถ้ามันมีของมันมาอย่างนี้ เห็นไหม ดูสิ แล้วเราต่างคนต่างจะมาชำระล้าง ต่างคนต่างจะมาแก้ไข ต่างคนต่างมาชำระล้าง ต่างคนต่างจะมาแก้ไข ต่างคนต่างแก้ไขของตัว

ถ้าแก้ไขของตัว เห็นไหม ใครมีทิฏฐิมานะขนาดไหน ใครมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากขนาดไหน คนคนนั้น ใจดวงนั้น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนตนนั้นต้องทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้ ถ้าใจสงบเข้ามาได้ แล้วใจเข้าไปแยกแยะพิจารณาได้ เห็นไหม มันก็จะเป็นผลงานของใจดวงนั้น ถ้าใจดวงใดยังทำขึ้นมาด้วยใจของตัวเองไม่ได้ เห็นไหม สิ่งที่เราฟังครูบาอาจารย์มานะ นั่นเขาเรียกว่า “ฟังธรรม ฟังธรรม” ฟังธรรมขึ้นมา ฟังธรรมเพื่อหาอุบาย ฟังธรรมขึ้นมาเพื่อหาเทคนิคของเรา

ในเมื่อเราจะประพฤติปฏิบัติของเรา เราจนตรอก เราหาทางออกไม่ได้ เห็นไหม เราก็อาศัยครูบาอาจารย์นะเบิกทาง คำว่าเบิกทาง มันไม่ใช่ของเรา เข็มทิศนะ เข็มทิศมันไปไหนไม่ได้หรอก เข็มทิศมันแค่ชี้ขึ้นทิศเหนือแค่นั้นนะ เราต้องอ่านเข็มทิศ

นี่ก็เหมือนกัน อุบายวิธีการเป็นอุบาย อุบายแล้วจิตของเราถ้ามีปัญญาขึ้นมา เราแยกแยะของเรา เราใช้ปัญญาของเรา ให้มันเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ถ้าเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา เพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ไง ถ้าใจดวงนี้มันทำของมันได้ มันก็เป็นประโยชน์กับใจดวงนี้ไง ถ้าใจดวงนี้มันพิจารณาขึ้นมา ถ้ามันทำได้มันเป็นความจริงขึ้นมานี่ เพราะความจริงๆ แล้วนี่ มันอุ้ยตาย กิเลสมันเป็นอย่างนี้เหรอ โอ้ เราเดินตามมันมาตั้งนานเนาะ ที่เราทำไปนี่ผิดหมดเลย ที่เราทำไปนี่ โอ๋ ที่เราทำไปนี่ โอ๋ กิเลสพาไปนี่เราไม่รู้เลย มันผิดหมดเลย พึ่งมาเห็นจริงวันนี้ ถ้าเห็นจริงวันนี้ มันจะแก้ไขของมันไง

ไอ้นี้มันไม่มีเลย ล้มลุกคลุกคลานไป ให้กิเลสมันเหยียบย่ำไปอยู่อย่างนั้นนะ แล้วก็เชื่อมันไป สามล้อถูกหวย โจรมันมีปืน กิเลสแล้วมันได้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสริมเข้าไปอีก โอ้โฮ มันไปใหญ่เลย มันเป็นแค่กิริยา โอ้ ฟังแล้วเราจะอ้วก มันเป็นแค่กิริยา ถ้าเป็นแค่กิริยาเอ็งพูดทำไม ถ้ามันเป็นกิริยาเอ็งก็รู้ของเอ็งอยู่แล้ว คนอื่นที่เขาได้ผลกระทบ เขาคิดเอง คนที่เขาได้ผลกระทบเขารู้ คนอื่นที่ได้รับผลกระทบนะ มันเป็นกิริยาหรือเปล่าล่ะ มันสะเทือนเขา

ถ้าเป็นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม พวกเราพวกดิบๆ ไง ไอ้พวกดิบๆ ไอ้พวกคนหยาบเข้าไปอยู่กับท่าน ท่านก็ถากท่านก็ถางด้วยธรรมะของท่าน ไอ้อย่างนี้ถ้าว่ามันสะเทือน สะเทือนอยู่แล้ว เพราะเรามาเรามาเพื่อประพฤติปฏิบัติ มันต้องสะเทือนสิ ถ้าไม่สะเทือนมันจะแก้ไขอย่างไรล่ะ ก็กิเลสทั้งนั้น ในใจเรามีแต่กิเลสทั้งนั้นสิ่งที่มันพอกพูนในหัวใจของเรานี่ แล้วเรามา เราเพื่อมาถอดมาถากมาถาง แต่เราถากถางมันไม่ได้ นี่คนป่ามีปืน กิเลสมันเรียนธรรมะ แล้วกิเลสมันก็เอาธรรมะมาพอกพูนหัวใจของเรา พอกพูนทิฏฐิมานะของเรา ว่าเรามีคุณธรรมๆ มันเป็นแค่กิริยา

แต่ถ้าไปหาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านถากท่านถางของท่าน ท่านถากท่านถางของท่านเพื่อจะชำระล้างกิเลสในใจของเรา ถ้าชำระล้างกิเลสในใจของเรา ถ้าเราเป็นจริงขึ้นมา ถ้าจบสิ้นกระบวนการแล้วเหมือนพระอัสสชิ เดินบิณฑบาตด้วยความนุ่มนวล ด้วยความมีสติสัมปชัญญะ พระสารีบุตรเดินตามไปเห็น เห็นการเคลื่อนไหวของพระอัสสชิ โอ้ ต้องมีสติมีปัญญาแน่นอน

เราศึกษามาๆ ดูสิ สัญชัยเอย ไอ้พวกฤๅษีชีไพรมีฤทธิ์มีเดช มีฤทธิ์มีเดชมันอภิญญา มันเรื่องข้างนอก แต่เรื่องอริยสัจเรื่องภายใน เรื่องกำจัดอวิชชาในหัวใจใครมันจะทำได้ขนาดนั้น เพราะไปเห็นกับพวกที่มีฤทธิ์มีเดชมาแล้ว มีฤทธิ์มีเดชมันเป็นอภิญญาอยู่ข้างนอก เวลาเห็นพระอัสสชิแสดงออก มันแสดงออกจากหัวใจ เพราะการเดิน การอยู่ การเหยียด การคู้ นี่มันมีสติสัมปชัญญะ ต้องมีสิ่งใดมหัศจรรย์ ตามไปๆ

เวลาฟังเทศน์ เห็นไหม ฟังเทศน์ “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ไปแก้ที่เหตุนั้น” แล้วเหตุของเรา อวิชชาในหัวใจของเรา ไอ้เหตุ ไอ้โง่ ไอ้หน้าด้านในหัวใจของเรา เราเห็นมันหรือเปล่า ถ้าเราไม่เห็นเราไปแก้ที่ไหน สิ่งที่แสดงออกๆ มาจากพฤติกรรม แล้วมันมาจากไหน ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ กิริยามาแต่เหตุ กิริยาๆ มาแต่เหตุ แต่เหตุ เหตุนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แก้ที่เหตุนั้น ย้อนกลับไปแก้ที่เหตุนั้น ไม่ได้แก้ที่กิริยาที่แสดงออกนี้

แต่ครูบาอาจารย์ของเราหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ท่านไปแก้ที่เหตุจบแล้ว พอท่านไปแก้ที่เหตุจบแล้ว สิ่งที่ท่านแสดงออกเลยเป็นแค่กิริยา ไอ้ของเรากิเลสตัณหาความทะยานอยากท่วมหัว แล้วบอกเป็นแค่กิริยา มันผิดที่ผิดทาง ผิดบุคคลผิดสถานที่ ผิดทุกอย่าง เพราะอะไร? เพราะเราทำให้มันผิด เพราะเราไม่เข้าใจ

ฉะนั้น ถ้าเราทำให้เข้าใจ เราประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงขึ้นมา ถ้าเราเข้าใจขึ้นมา เห็นไหม เราจะย้อนกลับมา ทำให้มันถูกที่ถูกทาง ถูกที่ถูกทางนี่ เราเป็นคนหนา เราเป็นปุถุชน เราต้องเริ่มต้นตั้งแต่เรามีศีล เรามีศีลมีความปกติของเรา แล้วเราอยู่ในที่สงบสงัดของเรา เราอย่าไปกวนใคร อย่าไปกวนเขา! เขาก็ทุกข์มา เขาก็เร่าร้อนมา มึงเร่าร้อนมึงก็อยู่ในกุฏิมึงสิ! มึงไปกวนใคร ทำใจมึงให้อยู่ก่อนสิ ไปวุ่นวายกับใคร

เพราะมันไม่มีหน้าที่ หน้าที่ที่วัดนี้เขามอบให้ทุกคนมีหน้าที่ ใครหน้าที่รับผิดชอบสิ่งใด คนที่ไม่มีหน้าที่ต้องไม่มีหน้าที่ “มันเป็นแค่กิริยา มันเป็นแค่กิริยา” กิริยาของมาร มารมันขี่เอาแล้วไปเหยียบย่ำเขา มันเป็นแค่กิริยา เวลาตัวเองจะทำมันเป็นแค่กิริยา คนอื่นทำ ตัวเราไม่ยอม คนอื่นมาทำตัวเราไม่ยอมรับ แต่ไปทำเขานะ

มันเป็นข้อเท็จจริงของครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ คำว่า “กิริยาของท่าน” ไอ้ของเรานี่กิเลสท่วมหัวเป็นแค่กิริยา ได้เปรียบนี่มันกิริยา เสียเปรียบมันไม่ยอม เอวัง